Friday, November 9, 2018

ทำไมคนสมัยพุทธกาลฟังธรรมแล้วบรรลุง่าย???

เคยมีความสงสัยกันมั้ยครับว่าทำไมคนในสมัยก่อนหรือสมัยพุทธกาลฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าแล้วเข้าใจเก็ทไดเดียกันง่ายจัง แต่พอเรามาฟังบ้างก็พอเข้าใจนะแต่ไม่บรรลุธรรมแบบเป็นโสดาบัน เอ๋....หรือว่าเราบรรลุธรรมแล้วกันแน่แต่ไม่รู้ตัว เออ..มันเป็นไปได้มั้ยเนี่ย



ก่อนอื่นนะครับผมขอเล่าเรื่องราวตัวอย่างของพระอัญญาโกณฑัญญะไว้เป็นตัวอย่างระยะเวลาบรรลุธรรม

พระอัญญาโกณฑัญญะตั้งจิตปรารถนาไว้ตั้งแต่ครั้งพระพุทธเจ้าปทุมุตตระ(เป็นพระพุทธเจ้าก่อนภัทรกัปป์นี้นะครับ) ครั้งนั้นท่านเกิดเป็นบุตรคหบดีมหาศาลชาวหงสวดี วันหนึ่งเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าพร้อมกับพวกชาวเมืองเพื่อฟังธรรม เห็นพระพุทธเจ้าทรงตั้งพระสาวกรูปหนึ่งไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะด้านรัตตัญญู (แปลว่า ผู้รู้ราตรีนาน หมายถึงได้บวชก่อนใครได้รู้ได้ฟังมาก) แล้วเกิดศรัทธาปรารถนาจะได้เป็นเช่นพระสาวกรูปนั้นบ้าง ท่านแสดงศรัทธาให้ปรากฏด้วยการถวายมหาทานแด่พระพุทธเจ้าและพระสาวกติดต่อกัน 7 วัน วันสุดท้ายได้สั่งให้เปิดเรือนคลังเก็บผ้า นำผ้าเนื้อดีเลิศมาวางถวายไว้แทบยุคลบาทของพระพุทธเจ้าและถวายพระสาวกแล้วกราบทูลว่า “ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอให้ข้าพระองค์ได้เป็นเหมือนภิกษุรูปที่พระองค์ทรงแต่งตั้งไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะเมื่อ 7 วันก่อนจากนี้ด้วยเถิด นั่นคือขอให้ได้บวชในศาสนาของพระพุทธเจ้าในอนาคตแล้วได้รู้แจ้งธรรมก่อนใครหมด” พระพุทธเจ้าทรงตรวจดูความเป็นไปในอนาคตของท่านด้วยพระญาณแล้ว ทรงเห็นว่าความปรารถนาของท่านสำเร็จได้แน่จึงทรงพยากรณ์ว่า ในอีก 100,000 กัปข้างหน้า พระพุทธเจ้าโคดมจักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก เธอจักได้ออกบวชเป็นสาวกของพระองค์ จักได้รู้แจ้งธรรมก่อนใคร และจักได้รับตำแหน่งเอตทัคคะด้านรัตตัญญู ท่านได้ฟังพระพุทธเจ้าตรัสพยากรณ์แล้วเกิดปีติโสมนัสเป็นอย่างยิ่ง ได้ทำบุญอื่น ๆ สนับสนุนอย่างต่อเนื่อง ต่อมาเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว ได้เป็นกำลังสำคัญในการสร้างกำแพง แก้วล้อมพระเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระองค์ ครั้นถึงวันประดิษฐานพระเจดีย์ ก็ได้สร้างเรือนแก้วไว้ภายในพระเจดีย์อีก จากชาตินั้น บุญส่งผลให้เวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิต่าง ๆ จนมาถึงพุทธุปบาทกาลของพระพุทธเจ้าวิปัสสี


ชาติที่พบพระพุทธเจ้าวิปัสสีนั้น ท่านเกิดเป็นบุตรของกฎุมพีชาวเมืองพันโฌฤฆฏธุมดี มีชื่อว่า “มหากาล” มหากาลมีน้องชายชื่อ “จูฬกาล” (ในชาติสุดท้ายคือสุภัททะปริพาชก) ทั้ง 2 มีอุปนิสัยแตกต่างกัน กล่าวคือ มหากาลเลื่อมใสในพระพุทธเจ้าวิปัสสี แต่จูฬกาลกลับไม่เลื่อมใส ดังนั้น ทั้ง 2 จึงมีความเห็นขัดแย้งอยู่ตลอดเวลาเกี่ยวกับการทำบุญ มหากาลได้แบ่งนาออกเป็น 2 ส่วน โดยให้ส่วนหนึ่งเป็นสมบัติของตน และอีกส่วนหนึ่งนั้นเป็นสมบัติของจูฬกาล แล้วได้นำเอาผลิตผลที่เกิดจากนาส่วนของตนนั้นมาทำบุญ จนจวบสิ้นอายุขัย จากชาตินั้น บุญส่งผลให้เวียนว่ายตายเกิดในภูมิต่าง ๆ เมื่อมาถึงพุทธุปบาทกาลของพระพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบันท่านมาเกิดเป็น บุตรพราหมณ์มหาศาลในหมู่บ้านพราหมณ์โทณวัตถุ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเมืองกบิลพัสดุ์ ครั้นออกบวชก็ได้บรรลุอรหัตผล อาศัยเหตุที่ตั้งจิตปรารถนามาแต่อดีตชาติประกอบกับเหตุการณ์ในปัจจุบันชาติ ที่ได้รู้แจ้งธรรมและบวชในพระพุทธศาสนาก่อนใคร พระพุทธเจ้าจึงทรงตั้งท่านไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะด้านรัตตัญญู ดังกล่าวมาแล้ว ฝ่ายพระปัญจวัคคีย์ที่เหลือ คือ พระวัปปะ พระภัททิยะ พระมหานามะและพระอัสสชิ ซึ่งมีอดีตชาติร่วมกับพระอัญญาโกณฑัญญะ ตรงที่ตั้งจิตปรารถนาให้ได้ฟังพระพุทธเจ้าแสดงธรรมก่อนใคร และปรารถนาจะบรรลุอรหัตผลพร้อมกัน ก็ได้สิ่งที่ปรารถนาไว้คือ ได้ฟังพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมก่อนใครและได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์พร้อมกันในที่สุด

มหากาลและจูฬกาล

เห็นมั้ยล่ะครับว่าการจะบรรลุธรรมนั้นไม่ใช่ว่าปุบปับจะบรรลุกันเลย ดังตัวอย่างที่กล่าวมาก็จะเห็นได้ว่าใช้เวลานานแสนนานๆๆๆๆเป็นแสนกัปป์กันเลยทีเดียวกว่าจะบรรลุธรรมกันและอาศัยความศรัทธาอย่างแรงกล้าไม่หวั่นไหวมุ่งตรงไปยังเป้าหมายอย่างว่าเราจะต้องบรรลุธรมมให้ได้ในชาติใดชาติหนึ่งอย่างแน่นอน


สุดท้ายก็ขอให้ทุกคนหมั่นทำความดีขึ้นเรื่อยๆอย่างได้หยุดหรือลังเล ค่อยๆเก็บสะสมบุญเล็กๆน้อยไปเรื่อยๆ ผมเชื่อว่าสักวันเราจะต้องบรรลุธรรมอย่างแน่นอนครับ

ขอขอบคุณที่ติดตามอ่าน
สำหรับฉบับนี้ต้องขอลาไปก่อน
สวัสดีครับ........

Sunday, November 4, 2018

โลกเราใกล้จะแตกแล้วจริงๆหรือเนี่ย..!!!

ภัยพิบัติตามธรรมชาติในช่วงนี้ที่เกิดขึ้นทั่วโลกในปัจจุบัน ทั้งแผ่นดินไหว คลื่นยักษ์สึนามิ เป็นสัญญาณเตือนว่าโลกเราใกล้จะถึงกาลอวสานจริงๆแล้วใช่มั้ย


เรามาทำความเข้าใจกันก่อนนะครับว่าโลกเรามีอายุเท่าไหร่กันแน่ ตามที่พระพุทธเจ้าได้บอกกล่าวแก่สามเณรสองรูปเกี่ยวกับการเกิดของมนุษย์ยุคแรกๆรวมไปถึงการกำเนิดของโลกนี้ด้วยว่า
64 อันตรกัปป์ เท่ากับ 1 อสงไขยกัปป์
4 อสงไขยกัปป์ เท่ากับ 1 มหากัปป์
1 มหากัปป์ เท่ากับ อายุของจักรวาล
เวลา 1 อันตรกัปป์ เป็นการกำหนดนับโดยถือเอาอายุของมนุษย์ ( อายุกัปป์ ) ตั้งแต่เริ่มต้นซึ่งมีอายุยืนถึงอสงไขยปีเป็นอายุ ( เวลา 1 อสงไขยปี เทียบเวลาในปัจจุบันแล้วประมาณ 100 ล้านปี ) ต่อมาอายุของมนุษย์ค่อย ๆ ลดลงมาตามลำดับจนกระทั่งถึงอายุ 10 ปี เป็นอายุของมนุษย์ ( สมัยพุทธกาลอายุขัยของมนุษย์ประมาณ 100 ปี ) เมื่อลดลงถึง 10 ปี อายุของมนุษย์จะค่อย ๆ มีอายุยืนขึ้นไปอีกจนถึงอสงไขยปี ซึ่งเป็นอายุของมนุษย์ในต้นกัปป์ การนับอายุของมนุษย์จากอสงไขยปีลงมาถึง 10 ปี แล้วนับจาก 10 ปี ย้อนขึ้นไปถึงอสงไขยปี เช่นนี้เรียกว่า 1 อันตรกัปป์ที่หมุนเวียนไปมาเช่นนี้ถึง 64 รอบ จึงนับเวลาได้ 1 อสงไขยกัปป์ อายุของจักรวาลหนึ่ง ๆ “ เท่ากับ 4 อสงไขยกัปป์หรือ 1 มหากัปป์ “ และยังแบ่งมหากัปป์ออกเป็น 4 อสงไขยกัปป์ ดังนี้.

ระยะเวลาก่อนเกิดโลก 
1.สังวัฏฏกัปป์ :กัปป์ที่พินาศอยู่ เป็นกัปป์ที่จักรวาลดำเนินไปสู่การทำลาย
2.สังวัฏฏฐายีกัปป์ กัปป์ที่พินาศแล้ว มีแต่ความพินาศตั้งอยู่ เป็นกัปป์ที่จักรวาลถูกทำลายหมดสิ้น จนมีแต่ความว่างเปล่าของอากาศ
3.วิวัฏฏกัปป์ กัปป์ที่เจริญขึ้นตามลำดับ เป็นกัปป์ที่เมื่อจักรวาลถูกทำลายลงหมดแล้ว เริ่มตั้งขึ้นใหม่
4.วิวัฏฏฐายีกัปป์ กัปป์ที่เจริญพร้อมด้วยสิ่งต่าง ๆ ตามปกติ เป็นกัปป์ที่จักรวาลมีทุกสิ่งทุกอย่างตั้งอยู่อย่างเรียบร้อย คือ มีพื้นแผ่นดิน มหาสมุทร ทะเล ภูเขา ต้นไม้ ลำคลอง ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาวน้อยใหญ่ คนและสัตว์ ปรากฎขึ้นพร้อมทุกอย่าง
ระยะเวลาก่อนเกิดโลก

เหตุที่ทำให้โลกแตกสลาย 3 ประการอีกนัยหนึ่ง

ไฟเป็นเหตุให้โลกแตกสลาย

น้ำเป็นเหตุให้โลกแตกสลาย


ลมเป็นเหตุให้โลกแตกสลาย
โทสะเป็นเหมือนศัตรูที่ปรากฏตัวชัดเหมือนเพลิง ความพินาศด้วยเพลิง ราคะเป็นเหมือนศัตรูที่ไม่ปรากฏตัว เหมือนน้ำกรด ควรพินาศด้วยน้ำ แต่เมื่อโทสะเพิ่มพูนขึ้นโลกย่อมพินาศด้วยลม
วาระที่โลกพินาศด้วยไฟ 7 ครั้ง 7 หน ในวาระที่ 8 โลกพินาศด้วยน้ำ เมื่อใดครบ 64 กัป เมื่อนั้นเป็นวาระของลมคราวหนึ่ง
ความดีก็เหมือนดั่งเทียนที่เราจุดต่อกันไปยิ่งให้ยิ่งได้
ตามที่กล่าวมาข้างต้นนี้จะเห็นได้ว่ามนุษย์นั้นมีอายุขึ้นและลงตามกาลเวลาและแปรผันกับศีลธรรมความดีในแต่ละยุค ส่วนยุคที่เรากำลังเผชิญอยู่นี้เป็นยุคที่มนุษย์มีจิตใจตกต่ำลงเรื่อยๆสวนทางกับวัตถุที่มาปรนเปรอความสะดวกสบายกลับมีมากขึ้นทุกวัน ดังนั้นเราจึงควรสะสมความดีเป็นเสบียงไว้เลี้ยงตัวเองในภายภาคหน้าเพราะเราจะต้องมาเวียนว่ายตายเกิดอีกหลายๆๆๆครั้ง หลักประกันที่จะทำให้เราไม่ตกต่ำก็คือศีลธรรม ถึงแม้ว่าเราจะต้องมาเกิดในยุคที่ยากลำบากแต่ด้วยบุญที่เราสะสมมาอย่างดีก็จะช่วยบรรเทาหนักให้เป็นเบาได้นะครับ

เพราะฉนั้นเราไม่ต้องกังวลว่าโลกเราจะแตกหรือไม่ขอให้เราหมั่นทำความดีกันให้ต่อเนื่องสม่ำเสมอแล้วผลลัพธ์จะผลิดอกออกผลของมันเอง
ขอขอบคุณที่ติดตามอ่านนะครับ
............