Monday, October 15, 2018

เดินเวียนเทียนจะต้องถอดรองเท้าไว้ตรงไหน?

ถึงแม้ว่าเราชาวพุทธจะเข้าร่วมกิจกรรมในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาเป็นประจำอยู่แล้วแต่มีสิ่งหนึ่งที่เราชาวพุทธมักจะมองข้ามไปก็คือ การถอรองเท้าให้ถูกที่


ทุกๆคนคงทราบกันดีอยู่แล้วว่าเราคนไทยเข้าไปสถานที่ไหนๆก็มักจะชินกับการถอดรองเท้าไว้ข้างนอกก่อนเข้าไปใช่มั้ยครับ แต่ที่ผมเห็นบ่อยๆเลย คือ มักจะถอดรองเท้าตามๆกัน ใครถอดตรงไหนก่อนก็จะถอดตรงนั้นวางๆตามกันไป โดยไม่รู้ว่าจุดไหนตำแหน่งไหนควรจะต้องถอด ท่านผู้อ่านคงจะสงสัยกันใช่มั้ยว่าก็ปกติถอดตรงหน้าประตูโบสถ์ประตูวิหารไง แค่ไม่ใส่เข้าไปก็ไม่ผิดแล้วจะมีอะไรนักหนา 
วันนี้ผมจะเล่าเรื่องในอดีตสมัยพุทธกาลนานนมให้ได้อ่านทำความเข้าใจกันนะครับ


ย้อนกลับไปในสมัยพระเจ้าพิมพิสารปกครองเมือง ท่านก็เป็นพระราชาแห่งแคว้นมคธ ได้ปกครองเมืองอย่างดี และท่านก็ได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าแล้วบรรลุโสดาบันเรียบร้อยแล้ว คือ เป็นกษัตริย์ที่ข้างในเป็นพระอริยะบุคคล แต่ยังทรงไม่ผนวชเป็นพระเท่านั้น เรามาเข้าเรื่องเลยดีกว่า ต่อมาพระเจ้าพิมพิสารก็ได้รัชทายาท ชื่อว่า อชาตศรัตรู บุตรชายหัวแก้วหัวแหวน ท่านก็เลี้ยงดูอย่างดีเลยล่ะ แต่ก่อนหน้าที่คลอดบุตรชายคนนี้ก็มีเรื่องประหลาดแก่พระราชเทวี คือ พระนางอยากกินเลือดผู้เป็นสามีตลอดเวลา เหมือนคนแพ้ท้องแล้วอยากกินอะไรสักอย่างแต่คราวนี้ดันเป็นเลือดสดๆของพระเจ้าพิมพิสารซึ่งมันทำให้นางอดคิดไม่ได้ว่าบุตรคนนี้จะต้องมาทำร้ายพ่อในอนาคตแน่นอนจึงไม่อยากจะเอาไว้ แต่พระเจ้าพิมพิสารทรงไม่คิดแบบนั้นให้เก็บบุตรคนนี้ไว้เลี้ยงจนเติมใหญ่


ครั้นพอเติบใหญ่ก็อยากจะเป็นกษัตริย์ซะเองเพราะเห็นว่าพระบิดาแก่ชราแล้วควรจะยกบัลลังก์ให้กับตน ก็เลยสบคบกับพระเทวทัตให้ฆ่าพระบิดาเสียไม่งั้นเจ้าจะไม่ได้อะไรประมาณนี้ พระเจ้าอชาตศัตรูก็เลยจับกุมพระบิดาไปขังคุกใต้ดินแล้วปล่อยให้อดตายเอง แต่พระมารดาก็ทรงเข้าไปช่วยให้อาหารนิดหน่อยโดยแอบเอาเข้าไป ซ่อนไว้ในรองเท้าบ้าง พอโดนจับได้ก็เปลี่ยนวิธีการใหม่ไปเรื่อยๆ จนโดนห้ามเข้าไปเยี่ยม คราวนี้ทำไงดี อย่าลืมว่าพระเจ้าพิมพิสารเป็นถึงพระโสดาบันเชียวนะ ท่านก็เดินจงกรม นั่งสมาธิ โดยแทบไม่ต้องกินอาหาร ทุกๆวันพระเจ้าพิมพิสารก็จะเห็นพระพุทธเจ้าเดินออกมาบิณฑบาตร แค่เห็นชายผ้าเหลืองเท่านั้นจิตใจก็ผ่องใสสว่างจ้ามีความสุข


คราวนี้พระเจ้าอชาตศัตรูก็เริ่มสงสัยทำไมพระบิดาถึงยังไม่สวรรคตสักทีก็เลยรู้ว่า พระบิดาเดินจงกรมเพื่อทำสมาธิ ก็เลยสั่งให้ทหารเอามีดมากรีดฝ่าเท้าแล้วเอาเกลือยัดเข้าไปในบาดแผล ทำให้พระเจ้าพิมพิสารเจ็บปวดทรมานเป็นอย่างมากจนไม่อาจทนพิษบาดแผลได้ ข้าวปลาก็ไม่ได้กิน เดินจงกรมก็ไม่ได้ ที่สำคัญไม่ได้เห็นพระพุทธเจ้าอีกต่างหากทำให้ไม่อาจทนอยู่ในสภาพนี้ได้จึงเสด็จสวรรคตสมความปราถนาของพระเจ้าอชาตศัตรู


คราวนี้ข่าวก็ได้แพร่สะพัดออกไป ชาวบ้านได้ยินถึงวิธีการที่พระเจ้าอชาตศัตรูได้กระทำต่อพระบิดาต่างก็รู้สึกหดหู่ใจว่าทำไมกษัตริย์ที่ดีๆแบบนี้ถึงต้องมาตายอย่างทรมานเยี่ยงนี้ ก็มีคนไปทูลถามพระพุทธเจ้าว่าเพราะเหตุอันใดหรือ พระเจ้าพิมพิสารถึงโดนกระทำแบบนั้น พระพุทธเจ้าทรงย้อนอดีตให้ฟังว่า นานมาแล้วในชาติก่อนๆมีนายทหารยศสูงทีทหารบริวารรายล้อมมากมายไม่เกรงกลัวศัตรูใดๆ ในสมัยนั้นก็มีพระพุทธเจ้าอีกพระองค์หนึ่งได้มาตรัสรู้ นายทหารนั้นพอรู้ข่าวก็จะรีบไปถวายความเคารพอยากกราบไหว้ก็เลยจะเข้าไปหาพระพุทธเจ้า ก็มีพระภิกษุรูปหนึ่งได้บอกกล่าวนายทหารท่านนั้นว่า กรุณาถอดรองเท้าของท่านก่อนเถอะ ให้ถอดไว้ตรงนี้ก่อนจะเข้าไปข้างใน นายทหารผู้นั้นมีความถือตนว่าเอ็งเป็นใครวะมาสั่งข้า มีแต่ข้าออกคำสั่ง ยังไงก็ไม่ถอดเดินเข้าไปแบบนั้นเลยแล้วก็เข้าไปกราบพระพุทธเจ้า การกระทำแบบนี้แล ที่ส่งผลให้เกิดผลกรรมอันทำให้พระเจ้าพิมพิสารต้องโดนเอามีดกรีดฝ่าเท้าแบบนั้น เพราะนายทหารคนนั้นในชาติก่อนก็คือพระเจ้าพิมพิสารในชาตินี้นั่นเอง


ก็มีคนถามต่อไปว่าแล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าจะต้องถอดรองเท้าไว้ตรงไหน สังเกตุง่ายๆครับ เขตที่พระพุทธเจ้าทรงอยู่นั้นจะทำเขตพัทธสีมาไว้เป็นเครื่องหมายจะมีเฉพาะอุโบสถเท่านั้นนะครับ ส่วนศาลาวัด วิหาร กุฎิ แค่ถอดก่อนเข้าไปก็พอ มีแต่อุโบสถเท่านั้นจะมีพัทธสีมา วัดบางแห่งยังสร้างอุโบสถไม่เสร็จก็จะมีลูกนิมิตตั้งไว้ให้เรามาปิดทองใช่มั้ยครับ นั่นแหล่ะครับข้างใต้ฐานพัทธสีมาก็จะมีลูกนิมิตรพวกนี้ฝังอยู่ข้างใต้ เพราะฉะนั้นเราเห็นลูกนิมิตรก็ให้รู้ไว้เลยว่านั่นคือเขตพัทธสีมาแน่นอน แล้วคราวนี้เมื่อเราไปเวียนเทียนก็ต้องสังเกตุเขตพัทธสีมาให้ดีๆนะครับว่าตั้งอยู่ตรงไหน เพราะที่ถูกต้องเราจะต้องเวียนเทียนรอบอุโบสถนะครับไม่ใช่รอบวิหารการเปรียญ บางแห่งพัทธสีมาอยู่ในกำแพงวัดก็มี เราก็ควรถอดรองเท้าตั้งแต่กำแพงวัดเข้าไปเลยทีเดียว


ด้วยเหตุนี้เองเราจึงควรถอดรองเท้าก่อนให้ถึงลูกนิมิตรนะครับ เพื่อเป็นการเคารพสถานที่ที่พระพุทธเจ้าทรงประทับอยู่นั่นเองครับ แล้วต่อไปจะได้ไม่เป็นอย่างพระเจ้าพิมพิสาร เพราะถึงแม้จะเป็นกษัตริย์กรรมใดๆที่เคยทำไว้ก็มิอาจหยุดยั้งให้ผลได้นะครับ

แล้วพบกับบทความต่อไป
.
.
.
 "โลกเราใกล้จะแตกแล้วจริงๆหรือเนี่ย.."

Friday, October 12, 2018

ผีกลัวพระห้อยคอเราจริงหรือ???

เคยคิดกันบ้างมั้ยครับว่าพระที่ห้อยคอเรากันอยู่นี้จะป้องกันผีไม่ให้มาหลอกเราได้  เริ่มสงสัยกันแล้วใช่มั้ยล่ะครับ
คนไทยเรานั้นมักจะหาเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ เช่น พระพุทธรูปประจำบ้าน เวลาออกไปข้างนอกก็ต้องมีพระเครื่องห้อยคอกันเพื่อความสบายใจว่าบรรดาพระทั้งหลายที่เราได้เลือกมาเองกับมือได้มาคุ้มครองเราเรียบร้อยแล้ว แต่อย่าเพิ่งมั่นใจนักนะครับว่าพระที่เราห้อยคออยู่นั้นจะช่วยป้องกันผีได้
อ้าว....แล้วกัน แบบนี้จะใส่กันไปทำไม เดี๋ยวก่อนครับอย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจ ผมจะช่วยขยายความเกี่ยวกับเรื่องผีๆที่ไม่กลัวพระมาให้อ่านกัน
เรื่องมีอยู่ว่า เพื่อนผมที่เคยไปวัดด้วยกันมา เธอโดนผีเข้าสิงครับ แล้วไม่ได้เข้าที่ไหนก็ในวัดนั่นแหล่ะ ตอนแรกๆที่เข้าสิงเธอ ผมกับเพื่อนอีกหลายคนก็ไม่มีใครรู้สึกหรอกครับ แต่พอบ่อยๆเข้าอาการของเธอก็แปลกๆไป เธอเหมือนไม่เป็นตัวของตัวเอง ก้มหน้าก้มตา เก็บตัวเงียบ ถามคำตอบคำ น้ำเสียงก็เปลี่ยนไป บางทีก็คุยปกติแต่อยู่ก็เงียบ ตัวสั่นสักพักก็หยุด เป็นแบบนี้หลายๆครั้งเข้า พวกผมเห็นท่าจะไม่ดีเลยคุยกันว่าจะพาเธอไปหาพระที่รู้วิถีไล่ผี เออ ลืมบอกไป ช่วงที่เธอเป็นหนักๆถึงขนาดเดินไปให้รถชนก็มี ผีตัวนี้กะเอาตายเลย ดีนะที่พวกผมช่วยไว้ทัน เลยพาตัวมาหาพระอาจารย์ (ขอไม่เอ่ยชื่อนะครับ) 
พระอาจารย์ก็อยู่ในวัดเดียวกันนั่นแหล่ะครับ พอพาไปหาท่าน อาการของเธอก็เป็นปกติดี สนทนากันแบบสนุกสนาน แต่ก็บอกท่านไว้แล้วว่าเธอโดนผีเข้าสิงนะครับ ท่านก็ เออๆเดี๋ยวข้าขอคุยกันก่อน คราวนี้พอคุยๆกันไปๆมาๆ อาการเริ่มออกและ อยู่ๆก็นิ่งเงียบ น้ำตาเธอไหลพราก ร้องไห้ฟูมฟาย พูดจาวกไปวนมาฟังไม่รู้เรื่อง สักครู่ก็นิ่งไปอีก พอเริ่มพูดเสียงเปลี่ยนเป็นเสียงผู้ชาย พระอาจารย์เลยเริ่มถามว่าเป็นใครมาจากไหน ต้องการอะไร ผีก็เริ่มพูดออกมาว่า ข้าเป็นผัวมัน ข้าต้องการเอาเมียข้าไปอยู่ด้วย ข้าสัญญากับมันว่าข้าจะไม่ไปไหน แต่ข้าดันมาตายไปก่อน พระอาจารย์เลยถามว่า แล้วทำไมเจ้าต้องมาเข้าสิงเมียเก่าเจ้าด้วย เจ้าก็ตายไปแล้วทำไมไม่ไปเกิดใหม่ ผีบอกว่าข้าไม่อยากไป ข้าจะอยู่กับเมียข้าจะพามันไปอยู่ด้วย พระอาจารย์ก็ถามต่อว่า เจ้าเป็นอะไรถึงตาย ผีบอกว่า ข้าขับรถคว่ำไปชนต้นไม้ ส่วนน้องชายข้าที่นั่งไปด้วยก็ตายพร้อมๆกัน 
พระอาจารย์ก็ถามว่า แล้วน้องเจ้าล่ะไปไหน ในเมื่อตายพร้อมกันจึงไม่อยู่ข้างๆเจ้าล่ะ ผีบอกว่า ข้าเห็นน้องชายไปทางมืด ไปแล้วก็ไม่เห็นกลับออกมา แต่ข้าพอตายแล้วจิตมันมาเกาะอยู่ที่เมีย ข้าไม่รู้จะไปไหนก็เลยอาศัยร่างเมียเป็นที่อยู่ พระอาจารย์เลยถามว่า แล้วเจ้าสามารถไปอยู่ตามตู้หรือสิ่งของอย่างอื่นได้มั้ยทำไมต้องมาอยู่ในร่างคน ผีบอกว่าได้เหมือนกันจะเข้าไปอยู่ในตุ๊กตา ปากกา เสื้อผ้ารองเท้า อะไรก็ได้หมด แต่เวลาเมียข้าออกไปข้างนอก ข้าไม่อยากรอว่าเมียจะกลับเมื่อไหร่เพราะข้ารู้สึกว่ามันช่างยาวนานเหลือเกิน ( เวลาของผีกับของคนต่างกันมากนะครับเพราะเวลาของผีไม่มีพระอาทิตย์บอกกลางวันหรือกลางคืนเหมือนเมืองมนุษย์ ) 
พอนางไปแล้วก็ไม่รู้เวลาที่แน่นอนจึงได้ติดตามนางไปทุกที่ แต่ก็มีบางสถานที่ ที่ข้าไม่อาจเข้าไปกับนางได้ เพราะมีพลังงานบางอย่างกั้นไว้ไม่ให้ตามเข้าไป ข้าจึงต้องยืนรออยู่ข้างนอกซึ่งมันทรมานเหลือเกิน ข้าจึงตัดสินใจเข้าสิงนางง่ายกว่าจะได้ไปกับนางได้ทุกที่ พระอาจารย์ถามต่อว่า ถ้าเอานางไปอยู่ด้วยคือเจ้าฆ่านางแล้ว เกิดว่านางไปทางมืดแบบน้องชายเจ้าล่ะ จะทำยังไง คราวนี้ผี งง ครับ อ้ำๆอึ้งๆ ผีมันก็แถไปว่าไม่รู้ล่ะข้ารักของข้า ข้าไม่สนใจ พระอาจารย์เลยใช้อุบายว่า เอาอย่างนี้มั้ยล่ะ เจ้าผี เจ้าเข้าไปอยู่ในพระที่ห้อยคอนางได้มั้ยล่ะ เจ้าจะได้ไปกับนางได้ทุกที่ไง แล้วเจ้าจะได้ไม่ต้องฆ่านางด้วย เจ้าผีเจออุบายนี้ก็ตอบตกลงทันที ยอมเข้าไปสิง
อยู่ในพระที่ห้อยคอนาง สักพักเธอก็รู้สึกตัว แบบ งงๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น ทุกคนเลยมาเล่าให้ฟังทีหลัง นางก็ตกใจว่าอะไรนะผีทำไมไม่กลัวพระเลยล่ะแถมมาอยู่ในพระที่ห้อยคอได้ด้วย
พระอาจารย์อธิบายให้ทุกๆคนได้เข้าใจว่า จริงๆแล้วผีไม่ได้กลัวพระพุทธรูปอะไรนั่นหรอกนะ แต่ผีเกรงกลัวคุณความดีที่บุคคลนั้นๆเคยกระทำไว้ก่อนตายมากกว่า ดังเช่น เสด็จพ่อ ร.5 ในหลวง ร.9 พระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี หรือพระเกจิดังๆ แต่ต้องเป็นที่รู้จักของผีตนๆนั้นด้วยนะ ถ้าผีมันเกิดมาก่อนหน้านั้นมันไม่รู้จักมันก็ไม่เกรงกลัวบารมีนะจะบอกให้ 
เราก็มีวิธีแก้อีก เช่น ถามผีว่าแกเกิดยุคไหน เราก็พอเดาๆได้ว่าต้องรู้จักพระองค์นั้นองค์นี้ เราก็อ้างไปพอมันรู้จักมันจึงเกิดการเคารพยำเกรง นี่มันเป็นแบบนี้
เพราะฉะนั้น เราๆท่านๆที่แขวนพระห้อยคอกันอยู่ก็ไม่ต้องถอดทิ้งกันนะครับ แค่เราหมั่นรักษาศีล เจริญปัญญา บริจาคทาน แค่นี้ผีก็ไม่กล้ามายุ่งวุ่นวายแล้วครับ เพราะ ทาน ศีล ปัญญา เป็นเกราะป้องกันอย่างดีแต่ที่แขวนพระไว้ที่คอก็เพื่อเป็นเครื่องเตือนสติให้หมั่นระลึกถึงคุณความดีที่พระแต่ละท่านเสียสละความสุขของตัวเองเพื่อเป็นเนื้อนาบุญให้เราๆท่านๆได้สะสมบุญบารมีและสีบทอดพุทธศาสนากันต่อไป

คนเราเกิดมาหมั่นทำดี ไม่ประมาทในชาติเกิด พบพุทธศาสนานับว่าโชคดีสุดๆ ดังนั้นควรประกอบกิจที่ตนพึงกระทำได้ให้มากที่สุดตราบชีวิตจะหาไม่นะครับ

ขอบคุณที่ติดตามอ่านหวังว่าจะเกิดประโยชน์แก่ท่านผู้อ่านไม่มากก็น้อยนะครับ ฉบับนี้ลาไปก่อนครับ

Tuesday, October 9, 2018

ทำไมถึงจำวันสำคัญทางศาสนาไม่ได้สักที???มีคำตอบ

อยากรู้ใช่มั้ยล่ะครับว่าทำไมเราถึงยังจำวันสำคัญในทางพระพุทธศาสนาไม่ค่อยได้หรือได้แต่ก็ยังไม่แน่ใจจำสลับกันบ้าง

เรามีเคล็ดลับที่ช่วยให้คุณผู้อ่านได้จำกันง่ายขึ้นและเข้าใจที่มาที่ไปด้วยครับ


ก่อนอื่นเรามาเริ่มกันที่จุดเริ่มต้นของพุทธศาสนาเรากันก่อนนะครับ
วิสาขบูชา ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 


อันดับแรก ก็คือ วันประสูติ วันตรัสรู้ วันปรินิพพาน 3 วันนี้เป็นวันเดียวกันทั้งหมด
ซึ่งมีเฉพาะผู้ที่มาเกิดเป็นพระพุทธเจ้าเท่านั้นนะครับ ซึ่งเป็นวันเพ็ญเดือน 6 เรียกว่า วิสาขะ
ดังนั้นเราจึงเรียกวันวิสาขะบูชา ว่าเป็น วันวันประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน ยังไงล่ะครับ
(หลายคนคงจะสงสัยว่าทำไมเป็นวันวิสาขะ เดือน 6 ทำไมไม่เป็นวันมาฆบูชา ซึ่งเป็นเดือน 3 ต้องมาก่อนซิ ก็เพราะว่าถ้าไม่มีการตรัสรู้ หรือ ประสูติแล้ว อีก 2 วันที่เหลือก็จะไม่เกิดขึ้นเด็ดขาดครับ)

หลังจากที่เจ้าชายสิทธัทถะประสูติ ท่านก็ได้แสวงหาสัจจะธรรมเพื่อการหลุดพ้นไม่ต้องมาเวียนว่ายตาย
เกิดอีก ท่านทรงออกผนวชเมื่อวัย 29 พรรษา ใช่เวลาในการบำเพ็ญเพียรนานอยู่ถึง 6 ปี ( เป็นเวลาตรัสรู้
ที่ยาวนานกว่าพระพุทธเจ้าพระองค์อื่นๆมากนัก เดี๋ยวท่านผู้อ่านจะงงว่ามีพระพุทธเจ้าองค์อื่นอีกหรือ วันหลังจะมาเล่าให้ฟังในตอนต่อๆไปนะครับ ) ในที่สุดท่านก็ได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในวันนี้เอง

เอาล่ะครับมาถึงตรงนี้ก็คงพอจะเข้าใจกันบ้างแล้วว่าให้นับวันวิสาขบูชาเป็นวันสำคัญวันแรกในพระพุทธศาสนา
พอจะเดาวันลำดับที่สองกันได้บ้างมั้ยครับ  ก็คือวัน....


ใช่แล้วครับ เห็นปัญจวัคคีย์แล้วก็พอจะเดากันออกใช่มั้ยครับ
วันอาสาฬหบูชา ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8
หลังจากที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ได้ 49 วัน ( 7 สัปดาห์ ) พระองค์ทรงพิจารณาแล้วว่าธรรมะที่ตนได้มานั้นลึกซึ้งน้อยคนที่จะเข้าใจและบรรลุธรรมได้เช่นเรา พระองค์จึงถอดใจที่จะไม่แสดงธรรม แต่พระอินทร์ที่คอยเฝ้าดูแลอยู่ก็ได้ทูลขอให้ท่านเห็นทางที่จะแสดงธรรมแก่ผู้คน ดั่งบัว 4 เหล่า คน 4 ระดับ ก็มีปัญญาในการรับฟังธรรมะขอท่านและสามารถบรรลุธรรมได้เช่นกัน พอท่านได้พิจารณาตามนั้นก็ทรงเปล่งวาจาว่าเราจะไปโปรดสัตว์ให้ได้บรรลุธรรม จึงเลือกเดินทางไปหาปัญจวัคคีย์ก่อน เพราะท่านทั้ง 5 คนนี้เคยปฎิบัติธรรมกันมาอย่างยาวนานน่าจะเข้าใจในธรรมะที่เราจะแสดง เมื่อท่านทั้่ง 5 ได้ฟังธรรมกันแล้วมีเพียงคนเดียวที่บรรลุธรรมขั้นต้นเป็นพระโสดาบันก็คือ ท่านอัญญาโกณฑัณญะ เป็นพระภิกษุสงฆ์องค์แรกของโลก จนวันที่ 2 วันที่ 3 วันที่ 4 วันที่ 5 แต่ละคนก็บรรลุธรรมตามๆกันมา แต่ในวันที่ 5 นี้เองที่ท่านอัญญาโกณฑัณญะได้บรรลุธรรมอีกครั้ง แต่ครั้งนี้บรรลุธรรมเป็นพระอรหัตน์เลยทีเดียว 

ธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมครั้งแรกก็คือ ธรรมจักรกัปปวัตนสูตร ที่เราๆเคยสวดกันนั่นเอง


วันอาสาฬหบูชา จึงเป็นวันครบองค์สาม ก็คือ 
พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์  นั่นเอง กงล้อธรรมได้หมุนแล้วในวันนี้
และเป็นวันประกาศศาสนาอีกด้วย
เมื่อพระพุทธเจ้าได้ประกาศศาสนาแล้ว จึงให้พระปัญจวัคคีย์ออกเดินทางไปตามทิศต่างๆเพื่อออกเผยแผ่ศาสนา และในครั้งนี้เองที่ลูกศิษย์องค์สุดท้ายที่บรรลุเป็นพระอรหัตน์คือพระอัสสชิ ได้ออกบิณฑบาตรได้ไปพบหนุ่มน้อยคนนึงมีนามว่า อุปติสสะ ตอนนั้นหนุ่มน้อยได้สังเกตเห็นพระอัสสชิ มีกิริยาที่น่าเลื่อมใสจึงได้รอให้ท่านฉันอาหารให้เรียบร้อยก่อนจึงเข้าไปสนทนา เมื่อได้สอบถามธรรมที่สงสัยแล้วจึงวิ่งกลับไปที่หมู่บ้านเพื่อไปบอกเพื่อนรักอีกคน ชือ โกลิตะ ทั้งสองเป็นเพื่อนรักกัน และได้บอกกล่าวกันไว้ว่าถ้าหากใครได้เจอธรรมะที่ดีให้รีบมาบอกกันและกันด้วย ตอนนั้น อุปติสสะ ได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันเรียบร้อยแล้ว พอเอาธรรมที่ได้ฟังมาไปเล่าให้ โกลิตะ ฟังก็บรรลุโสดาบันอีกคน ทั้งสองจึงได้ชื่อใหม่คือ อุปติสสะเป็นพระสารีบุตร ส่วนโกลิตะเป็นพระโมคคัลลานะ นั่นเอง

เป็นยังไงล่ะครับท่านผู้อ่าน เริ่มมีลูกศิษย์มากขึ้นแล้วเห็นมั้ย คราวนี้ทั้งสององค์นี้ก็เป็นกำลังหลักในการเผยแผ่ต่อไปด้วยแล้วก็รวบรวมลูกศิษย์จากทั่วสารทิศเลยทีเดียว


จนไปถึงเดือน 3 ของปีถัดไป ก็มาตรงกับวันครูของชาวอินเดีย
วันมาฆบูชา ขึ้น 15 ค่ำเดือน 3


ในวันนี้เองที่มีลูกศิษย์สาวกมาประชุมพร้อมกันนับแล้วได้ 1,250 รูปพอดีเป๊ะ (มีใครกันบ้างเดี๋ยวเอาไว้อธิบายในหัวข้อต่อๆไปนะครับ) นับจากเดือน 8 จนถึงเดือน 3 ของอีกปีใช้เวลาทั้งสิ้น 7 เดือนในการเผยแผ่ศาสนา ในสมัยนั้นนับว่ายากลำบากมากเลยทีเดียว เพราะมีศาสนาพราหมณ์อยู่ก่อนแล้วอีกทั้งการเดินทางที่ไม่สะดวกสบาย internet ก็ไม่มี โอ้ววว มีอุปสรรคมากมาย แต่ก็ยังได้ผู้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ตั้ง 1,250 รูปซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จอย่างดีเลยทีเดียว แต่ขอโทษทีทั้งหมดที่มากันเนี่ยไม่ได้นัดหมายกันด้วยนะครับ เดินทางมาจากทุกสารทิศแล้วมาหยุดต่อหน้าพระพักตร์พระพุทธเจ้าตามที่เห็นในรูปเลย
พระพุทธองค์จึงให้โอวาทแด่พระอรหันต์ทั้งหมดว่า

จงละชั่ว ทำแต่ความดี และทำจิตใจให้ผ่องใส


เป็นเหมือนกฏบัญญัติ 3 ข้อของภิกษุในช่วงต้นๆของศาสนาก็ว่าได้
สรุปวันมาฆบูชามีใจความสำคัญคือ

เป็นวันที่พระสงฆ์มาประชุมพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย แล้วก็เป็นพระอรหัตน์ที่พระพุทธเจ้าทรงบวชให้ทั้งหมดด้วยนะ ซึ่งทั้งหมดมี 1,250 รูป และพระพุทธเจ้าให้โอวาทไว้ 3 ข้อดังที่กล่าวไปแล้ว


เอาล่ะครับมาถึงตรงนี้แล้วพอจะจัดลำดับความสำคัญกันได้แล้วใช่มั้ย

ตรัสรู้ วิสาขบูชา ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6
ประกาศศาสนา มีลูกศิษย์ 5 คน อาสาฬหบูชา ขี้น 15 ค่ำ เดือน 8
ลูกศิษย์1,250 คนมาประชุมกัน มาฆบูชา ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3

ทำความเข้าใจแบบนี้ไม่ลืมแน่นอนครับ